วันศุกร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

พบวิธีกำจัดสิวเสี้ยนที่ได้ผลแล้ว


จากที่เป็นปัญหากับสิวเสี้ยนมานาน และแล้วก็ได้พบกับผลิตภัณฑ์เพื่อการผลัดเซลล์ผิว
ในครั้งแรกที่ใช้ ก็รู้สึกได้ ว่าสิวเสี้ยนที่มีได้หลุดออก และน้อยลงไปเรื่อยๆ

วิธีกำจัดสิวเสี้ยน



จุดดำๆ รอบๆ จมูกที่มาจากสิว ดูไม่งามไม่เหมาะกับหน้าใสๆ ของสาวๆ เลย มาดูวิธีกำจัดมันดีกว่าค่ะ ..

จมูกของคนเรามักจะมีต่อมผลิตน้ำมันมากกว่าส่วนอื่นๆ ของร่างกาย และเมื่อความมันเยิ้มนั้นเข้าไปรวมตัวกับเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว สิวหัวดำก็จะโผล่ออกมาให้เห็น


ในการขจัดสิวหัวดำที่ดูน่าเกลียดนั้นออกไป คุณก็ควรใช้คลีนเซอร์ หรือผลิตภัณฑ์ขัดลอกผิว ที่มีส่วนผสมของกรดอัลฟ่า-ไฮดร็อกซี่ สัปดาห์ละสองครั้ง เพื่อขจัดเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว หรือสิ่งสกปรกที่อุดตันอยู่ในรูขุมขนออกไป ซึ่งจะช่วยลดเลือนสิวหัวดำให้คุณได้ภายในหนึ่งถึงสองเดือน


หลังจากนั้นก็ควรคงความเกลี้ยงเกลานั้นเอาไว้ ด้วยการใช้สครับชนิดอ่อนโยนหรือแบบที่มีผงขัดขนาดเล็ก ขัดผิวหน้าเป็นประจำสัปดาห์ละหนึ่งหรือสอง
ที่มา ... Lisa

นวัตกรรมบอกลาริ้วรอย


ริ้วรอยตัวร้ายมาจากไหน
ริ้วรอยบนใบหน้าเปรียบเสมือนไมล์วัดประสบการณ์ที่สาวๆ หวาดหวั่นเกิดจาก 2 ตัวแปรสำคัญที่ทำให้ผลริ้วรอยแตกต่างกัน คือ


ริ้วรอยจากการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ เกิดจากการแสดงอารมณ์ของใบหน้าที่ทำให้กล้ามเนื้อต้องหดและเกร็งตัวไม่ว่าจะ เป็นการยิ้ม หัวเราะ ร้องไห้ ขมวดคิ้ว เมื่อแสดงอารมณ์บ่อยๆ จึงมีโอกาสที่จะทำให้เกิดริ้วรอยมากขึ้น และจะเห็นได้ชัดบริเวณรอบดวงตา หางตา หน้าผาก และหัวคิ้ว
ริ้วรอยจากผิวเสื่อมสภาพ เมื่ออายุมากขึ้นผิวจะอ่อนแอลง ปริมาณคอลลาเจน กรดไฮยาลูโรนิกและน้ำในชั้นหนังแท้ก็ลดลงตามไปด้วย เป็นเหตุให้ผิวหย่อนคล้อยและเกิดริ้วรอยง่ายขึ้น แม้จะเป็นผู้ไม่แสดงอารมณ์ทางสีหน้านัก ริ้วรอยนี้พบมากบริเวณร่องแก้ม มุมปาก ร่องจมูก และบริเวณรอยแผลเป็น


รักษา “ริ้วรอย” ให้ตรงจุด



วิธีแรก การฉีดโบท็อกซ์ (Botulinum toxin-A)

เน้นแก้ปัญหามัดกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้าที่หดเกร็งให้คลายตัว
โดยใช้สารชีวภาพสกัดจากเชื้อ Clostridium Botulinum
เพื่อคลายกล้ามเนื้อ แก้ริ้วรอยที่เกิดจากการหดตัวของกล้ามเนื้อ
รอยย่นหน้าผาก รอยตีนกา รอยย่นบริเวณหัวคิ้ว

มีผลการวิจัยมากมายบอกถึงความปลอดภัยของการฉีดโบท็อกซ์ว่า
ไม่ทำให้เกิดการ แพ้หรืออันตรายที่น่ากลัว
แต่มีข้อควรระวังต้องฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์เท่านั้น
เพราะอาจมีผลข้างเคียงเฉพาะที่ เช่น หนังตาตก หน้าไม่สมส่วน
เลือดออกในบริเวณที่ฉีด และมีผลให้กลืนอาหารลำบากได้

การฉีดโบท็อกซ์เพื่อแก้ริ้วรอยจะเห็นผลทันทีและคงอยู่ได้ประมาณ 3-6 เดือน
หลังจากนั้นริ้วรอยจะค่อยๆ กลับมาปรากฏอีก จึงทำให้ต้องฉีดซ้ำ
ทั้งนี้ไม่ควรฉีดติดต่อกันและควรเว้นช่วงการฉีดอย่างน้อย 3 เดือน
เพื่อไม่ให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาต่อต้าน

สำหรับผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ ให้นมบุตร และผู้ที่เป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงห้ามฉีด
เพราะอาจมีผลกระทบได้


วิธีที่ 2 เน้นแก้ไขริ้วรอยจากผิวเสื่อมสภาพ
ด้วยการฉีดสารเข้าไปทำให้ผิวเต่งตึง
และการกระตุุ้นผิวให้กลับมาแข็งแรงมากขึ้น

ฟิลเลอร์ (Filler) คือ การฉีดสารเติมเต็มให้ผิวเต่งตึงด้วยสารสกัด
เพื่อช่วยให้ริ้วรอยและรอยแผลเป็นที่มีร่องลึกดูตื้นขึ้น

โดยมีสารที่ใช้ฉีด 2 ชนิด คือ

คอลลาเจน (Collagen) เพื่อชดเชยเส้นใยโปรตีนในชั้นหนังแท้
โดยต้องฉีดสารในผิวหนังชั้นลึก เพราะคอลลาเจนที่ใช้เป็นสารสกัดจากหนังแท้ของวัว
มีลักษณะข้นหนืด หากฉีดตื้นเกินไปจะทำให้เป็นก้อนแข็งใต้ผิว และขณะฉีดจะค่อนข้างเจ็บ
และอาจมีอาการบวม ปวด หรือคันบริเวณที่ฉีด แต่มีข้อดีที่อยู่ได้นานประมาณ 5 ปี

กรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic acid) มีลักษณะเหลวกว่า
จุดเด่นคือ ช่วยให้ผิวดูเนียนนุ่มมีน้ำมีนวล เพราะสารตัวนี้มีคุณสมบัติในการอุ้มน้ำ
แต่อยู่ได้นานประมาณ 6-12 เดือน

ทั้งนี้การเลือกฉีดสารใดนั้นขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้รับการรักษาเป็นสำคัญ


เลเซอร์ (Laser)
เป็นวิธีที่นำนิยมในกระตุ้นผิวให้กลับคืนความแข็งแรงด้วยการยิงแสงเลเซอร์
เพื่อทำให้เส้นเลือดใต้ผิวหนังอุ่นขึ้นเป็นการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
ในชั้นผิวหนังแท้ตามธรรมชาติ ทำให้โครงสร้างผิวแข็งแรงขึ้น

ข้อดีของการรักษาด้วยเลเซอร์ คือ คอลลาเจนที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติจะสลายตัวช้า
จึงไม่จำเป็นต้องทำต่อเนื่อง แต่มีข้อจำกัดคือเห็นผลช้าและหลังการทำ
ต้องหลีกเลี่ยงแสงแดดประมาณ 1 สัปดาห์
ในคนผิวคล้ำอาจเกิดรอยไหม้ได้ง่าย
เนื่องจากแสงเลเซอร์ทำปฏิกริยากับเม็ดสี

เคล็ดลับความงามสีผมแบบไม่น่าเชื่อ




เติมเท็กซ์เจอร์ด้วยน้ำอัดลม : เวลาที่เส้นผมดูลีบแบน ก็เทสไปร์ทลงในกระบอกฉีด แล้วฉีดลงบนเส้นผมที่เปียกหมาดๆ ส่วนผสมที่เป็นน้ำตาลจะช่วยเติมเท็กซ์เจอร์เซ็กซี่ๆ ให้เส้นผมดูมีน้ำหนักขึ้น

เติมสีผมด้วยกาแฟ : ถ้าคุณอยากให้สีผมโทนสีน้ำตาลดูเข้มและสดใสขึ้น ก็ต้มเมล็ดกาแฟแบบเข้มๆ แล้วปล่อยทิ้งไว้ให้เย็น จากนั้น นำมาราดลงบนเส้นผมปล่อยทิ้งไว้ 10 นาที แล้วล้างน้ำออก

ลดความเข้มด้วยน้ำยาล้างจาน : ถ้าสีผมที่คุณเพิ่งทำมาดูมีสีเข้มจนเกินไป ก็เติมน้ำยาล้างจานลงในขวดแชมพูซักสองสามหยด เขย่าให้เข้ากัน แล้วนำมาสระผมตามปกติ

ที่มา ... Lisa

ซีรั่มช่วยแก้ปัญหาบนผิวหน้าได้

ทำไมเราต้องใช้ซีรั่ม
ในเมื่อเราก็มีมอยส์เจอไรเซอร์แบบที่เป็นครีมหรือโลชั่นอยู่แล้ว


ซีรั่มก็เหมือนวิตามินเสริมนั่นแหละ เวลาที่ผิวหน้าเรามีปัญหาหรือต้องการการดูแลเป็นพิเศษ การทามอยส์เจอไรเซอร์ตามปกติเพียงอย่างเดียวก็อาจเอาไม่อยู่
เราจึงต้องใช้ซีรั่มเสริมเข้าไปแก้ปัญหาในสิ่งที่เราเป็นกังวล

วิธีการใช้ ก็แค่ทาลงบนผิวหน้าสะอาด ๆ ก่อนทามอยส์เจอไรเซอร์
โดยเลือกคุณสมบัติของซีรั่มตามความต้องการของคุณ อย่างเช่น

ถ้าคุณผิวแห้งก็เลือกใช้แบบที่ช่วยเติมความชุ่มชื้น

ถ้าคุณมีปัญหาเรื่องริ้วรอย
ก็มองหาแบบที่จะช่วยลดเลือนริ้วรอยให้คุณได้





แต่ถ้าคุณมีปัญหาริ้วรอยบริเวณรอบดวงตา
ก็ควรเลือกซีรั่มที่ทำขึ้นมาสำหรับผิวรอบดวงตาโดยเฉพาะ
เพราะเป็นบริเวณที่ผิวบอบบาง และเกิดอาการระคายเคืองได้ง่าย

ที่มา ... Lisa

การทามอยส์เจอไรเซอร์ให้ได้ประโยชน์สูงสุด

การทามอยส์เจอไรเซอร์ให้ได้ประโยชน์สูงสุด

1. หลังจากล้างหน้าเสร็จ ควรซับหน้าให้แห้งหมาดๆ ไม่ควรถูหน้าแรงๆ

2. ควรทามอยส์เจอไรเซอร์ขณะที่ผิวยังชื้นอยู่

3. นวดเบาๆ เป็นแนววงกลมย้อนขึ้นด้านบน โดยอย่าลืมทาบริเวณคอ หากเป็นคนผิวมันไม่ควรนวดหน้ามากเกินไป เพราะจะยิ่งกระตุ้น ต่อมน้ำมันใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวมันมากขึ้น

4. เมื่อทาครีมบริเวณตา ควรทาอย่างเบามือ โดยใช้นิ้วนางแตะผิวเบาๆ จากหางตามาที่หัวตา

5. ควรทามอยส์เจอไรเซอร์สูตรปราศจากน้ำมัน พร้อมทั้งผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดด และรอให้แห้งสักพักก่อนแต่งหน้า ทั้งนี้เพื่อให้เครื่องสำอางติดทนนาน ไม่ไหลเยิ้ม

6. ไม่ควรทาครีมบำรุงตาบริเวณหนังตาด้านบน ก่อนนอน เพราะอาจทำให้ตาบวมหลังตื่นนอนตอนเช้า

วันพฤหัสบดีที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

สีปัสสาวะบอกสุขภาพ


สีของปัสสาวะก็อาจบอกให้รู้คร่าวๆ
ได้ว่าร่างกายของปกติดีอยู่หรือไม่


ลองมาตรวจร่างกายตัวเองกันหน่อยดีไหม...เอาแบบง่ายๆ ไม่ยุ่งยาก
แค่ลองสังเกตสีปัสสาวะของตัวเองดู

ปัสสาวะออกมาเป็นสีอมแดง

หากปัสสาวะออกมาเป็นสีนี้ต้องลองนึกให้ออกว่าได้รับประทานอาหารอะไรที่เป็น สีทำนองนี้หรือเปล่า เช่น แบล็คเบอร์รี่หรือผักกาดม่วง แต่ถ้าแน่ใจว่าไม่ได้กินอะไรใกล้เคียงกับสีแดงเลย ก็อาจเป็นลางร้าย เพราะสีแดงนั้นอาจจะเป็นเลือดที่ขับออกมาจากไตหรือกระเพาะปัสสาวะอาจอักเสบ หรือไม่ก็อาจจะมีอะไรในร่างกายที่ฉีกขาดเป็นแน่ ควรรีบปรึกษาแพทย์โดยด่วน

ปัสสาวะเป็นสีน้ำตาล
มองได้ 2 อย่างคือ อาจจะเกิดจากการรับประทานถั่วในปริมาณที่มาก
หรือว่าอาจจะเป็นลิ่มเลือดที่ปนออกมาก็ได้ ทางที่ดีควรปรึกษาแพทย์ดีกว่า

ปัสสาวะออกเป็นสีเหลือง
ถ้าปัสสาวะออกเป็นสีเหลืองอ่อนเป็นไปได้ว่า
วันนั้นร่างกายจะได้รับวิตามินบี 2 มากเกินความต้องการจนต้องขับออกมา
แต่ถ้าเป็นสีเหลืองเข้มก็หมายความว่า คุณดื่มน้ำน้อยเกินไปแล้ว
แต่ถ้ามั่นใจว่าดื่มน้ำเยอะแล้ว แต่ทำไมปัสสาวะยังเป็นสีเหลืองเข้มอยู่ เหมือนเดิม
ก็คงต้องรีบปรึกษาแพทย์เพราะอาจมีโรคไตแฝงมาแล้วก็ได้

ปัสสาวะมีสีขุ่น
ในผู้ที่ปัสสาวะสีขุ่นให้ลองดื่มน้ำส้มดูว่าหายหรือไม่ ถ้าไม่หาย
อาจเนื่องมาจากติดเชื้อบางอย่างก็ได้ อาการอย่างนี้ควรปรึกษาแพทย์

ปัสสาวะมีสีส้ม
อาจเป็นผลข้างเคียงที่เกิดจากการใช้ยาโพรีเดียมที่ใช้ในการรักษาโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ

ปัสสาวะเป็นสีน้ำเงิน
ถ้าปัสสาวะมีสีอย่างนี้ ไม่ต้องแปลกใจ โดยเฉพาะหากคุณทานยาแก้อาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่
เพราะในยามีส่วนผสมของสารเมธีลีน และขับออกมาทางปัสสาวะ ปัสสาวะจึงมีสีออกฟ้าๆ

เข้า ห้องน้ำคราวนี้ อย่าลืมสังเกตดูสีปัสสาวะ เรื่องเล็กๆ น้อยๆ
อย่างนี้ไม่ควรมองข้าม สังเกตตัวเองนิดๆ หน่อยๆ ก็เป็นผลดีกับสุขภาพร่างกาย

ที่มา ... ผู้หญิงนะคะ

เคล็ดลับง่าย ๆ ในการป้องกันโรคช้ำรั่ว

ทุกครั้งที่เข้าห้องน้ำให้กลั้นปัสสาวะไว้สัก 1-3 วินาที จากนั้นจึงคลายออก
และกลั้นสลับกับคลายออกอีกครั้ง และเมื่อไรก็ตามที่นึกอยากเข้าห้องน้ำ
ก็ลองกลั้นไว้ อาจจะเริ่มจากแค่ 10 วินาที แล้วค่อย ๆ เพิ่มจนเป็น 2 นาทีหรือมากกว่านั้น



การบริหารกล้ามเนื้อด้วยวิธีนี้ทุกวัน จะทำให้ผนังอุ้งเชิงกรานของคุณแข็งแรงขึ้น
และสามารถป้องกันโรคช้ำรั่วในผู้หญิงถึง 70 เปอร์เซ็นต์

ที่มา ... คู่หูเดินทาง

8 เทคนิคปราบฮอร์โมนความเครียด

8 เทคนิคปราบฮอร์โมนความเครียด


1.ทำสมาธิ
: ลดคอร์ติซอล 20%

ก่อนหน้านี้ในบ้านเราเคยมีการศึกษาโดยใช้เวลา 6 สัปดาห์
พบว่าผู้ที่ฝึกสมาธิตามวิถีพุทธ จะสามารถลด ทั้งความดันโลหิตและระดับคอร์ติซอลได้
ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาจาก Maharishi University ในสหรัฐฯ
ที่ผู้เข้าร่วมการศึกษาที่นั่งสมาธิทุกวันเป็นเวลา 4 เดือน
จะมีคอร์ติซอลลดลงโดยเฉลี่ย 20% แต่คนที่ไม่ได้นั่งสมาธิเลย
จะมีระดับคอร์ติซอลและความดันโลหิตสูงขึ้นเล็กน้อย


2.ฟังเพลง
: หยุดไม่ให้คอร์ติซอลเพิ่ม 66%

เสียงเพลงสามารถทำให้หัวใจ และสมองของเราผ่อนคลายได้จริง ๆ
สิ่งนี้ได้รับการพิสูจน์แล้ว เมื่อแพทย์ จาก Osaka Medical Center
ทดลองเปิดเพลงให้คนใช้ฟังในขณะที่กำลังส่องกล้องตรวจลำไส้
แล้ววัดระดับคอร์ติซอลเปรียบเทียบกับคนไข้ที่ส่องกล้องเช่นเดียวกัน
แต่อยู่ภายในห้องเงียบ ๆ ผลก็คือคนไข้ที่ฟังเพลง
มีระดับคอร์ติซอลพุ่งขึ้นน้อยกว่าคนไข้ในกลุ่มหลัง แต่นี่เป็นแค่ตัวอย่างเท่านั้น
คุณอาจนำวิธีนี้มาประยุกต์ใช้ในเวลาอื่น ๆ ที่ เครียดพอกัน
เช่น เมื่อพาแฟนมากินข้าวกับคุณพ่อคุณแม่เป็นครั้งแรก
หรืออาจจะเปิดเพลงกล่อมเบา ๆ ก่อนนอน แทนการดูโทรทัศน์
ก็จะช่วยให้หลับฝันหวานได้เช่นกัน


3.นอนแต่หัวค่ำ
: ลดคอร์ติซอล 50%

ทราบมั้ยว่า ความแตกต่างระหว่างการนอนหลับ 6 ชั่วโมง และ 8 ชั่วโมงคืออะไร?
คำตอบก็คือความต่าง เพียง 2 ชั่วโมง จะทำให้กระแสเลือดของเราเต็มไปด้วยคอร์ติซอลมากกว่า
ถึง 50% ซึ่งการศึกษาจาก Germany’s Institute for Aerospace Medicine เปิดเผยว่า
เมื่อนักบินนอนหลับ 6 ชั่วโมง (หรือน้อยกว่า) ติดต่อกัน 7 คืน นัก บินกลุ่มนี้จะมีระดับคอร์ติซอล
พุ่งสูงขึ้นมาก และจะเป็นเช่นนั้นถึง 2 วัน การนอนหลับพักผ่อนวันละ 8 ชั่วโมง
จะทำให้ร่างกายฟื้นฟูตัวเองจากความเครียด แต่ถ้าคุณนอนไม่พอ
วันต่อมาลองหาเวลางีบในช่วงกลางวัน จะช่วยลดคอร์ติซอลที่สะสมจากการอดนอนได้


4.จิบชาดำ
: ลดคอร์ติซอล 47%

ชาดำเป็นเครื่องดื่มที่ทำให้คุณเบิกบาน และมีความเกี่ยวข้องลึกซึ้งกับความผ่อนคลาย สบายใจ
ซึ่งสามารถ ยืนยันได้ทางวิทยาศาสตร์ เมื่ออาสาสมัครจาก University College London
ต้องทำกิจกรรมที่เพิ่มความเครียดภาย ในหนึ่งชั่วโมงที่ทำงานเสร็จ
คนที่ดื่มชาดำจะมีระดับคอร์ติซอลลดลงถึง 47% ส่วนคนที่ดื่มชาหลอกจะลดลงเพียง 27% เท่านั้น
ซึ่งผู้เชี่ยวชาญคิดว่า สาเหตุที่ชาเป็นเครื่องดื่มเพื่อกล่อมเกลาจิตใจ
น่าจะเป็นเพราะสารเคมีตามธรรม อย่างโพลีเฟอนอลและฟลาวานอยด์


5.แฮงเอาต์กับเพื่อนสาวสุดฮา
: ลดคอร์ติซอล 39%

เพื่อนสาวที่ช่วยให้เราหัวเราะได้ อาจช่วยได้มากกว่าหันเหความสนใจของเราออกจากปัญหาทั้งปวง
นักวิจัย จากมหาวิทยาลัยโลมาลินดาบอกว่า เพียงแค่ได้หัวเราะก็ทำให้ระดับคอร์ติซอลลดลง
เกือบครึ่งแล้ว หรืออาจดูหนัง ตลก ก็ทำให้คุณคลายเครียดเช่นกัน


6.นวดเฟ้นคลายเครียด
: ลดคอร์ติซอล 31%

นาน ๆ ครั้ง ลองให้ของขวัญตนเองเป็นการนวดบ้างก็ดี เพราะการนวดสามารถขับไล่ความเครียดได้
โดย การศึกษาจากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยไมอามีชี้ว่า การนวดบำบัดเพียงไม่กี่สัปดาห์
สามารถลดระดับคอร์ติ ซอลโดยเฉลี่ยได้ถึง 1 ใน 3 การนวดยังช่วยกระตุ้นสารโตพามีน
และเซโรโทนิน ซึ่งสารทั้งสองชิดคือฮอร์โมนแห่ง ความสุขที่หลั่งออกมา
เมื่อเราอยู่กับเพื่อนฝูงหรือทำเรื่องสนุก ๆ


7.หันหน้าเข้าหาศาสนา
: ลดคอร์ติซอล 25%

กิจกรรมทางศาสนานั้น ทำให้คนมีพลังที่จะสู้กับความกดดันในชีวิตประจำวัน
และยังสามารถลดการผลิต คอร์ติซอลได้อีกด้วย นอกจากนี้
การศึกษาจากมหาวิทยาลัยมิสซิสซิปปียังชี้ว่า คนที่เข้าวัดบ่อย ๆ มักจะมีระดับ
ความเครียดต่ำกว่าคนที่ไม่เข้าวัดเลย แต่ถ้าคุณคิดว่าตัวเองไม่เหมาะกับกิจกรรมด้านศาสนา
ก็ลองฟื้นฟูจิต วิญญาณด้วยการไปเป็นอาสาสมัครดูก็ได้


8.เคี้ยวหมากฝรั่ง
: ลดคอร์ติซอล 12-16%

ครั้งต่อไปที่รู้สึกเครียดจัด ลองหยิบหมากฝรั่งมาเคี้ยวเพื่อระบายความเครียดดูนะ
สำหรับคนที่มีความ เครียดระดับปานกลาง การเคี้ยวหมากฝรั่งจะช่วยให้ระดับคอร์ติซอล
ในน้ำลายลดลงถึง 12% และยังกระปรี้ กระเปร่ามากกว่าคนที่ไม่เคี้ยวหมากฝรั่งเลย
นี่อาจเป็นเพราะการเคี้ยวหมากฝรั่ง จะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือด
และการทำงานของระบบประสาทในสมองบางส่วนก็ได้


วิธีการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้า

วิธีดูแลผิวที่ถูกต้อง
ควรเริ่มต้นจากการทำความสะอาดผิวที่ถูกวิธี ซึ่งเป็นการยืดอายุเซลผิวหนังได้นานที่สุด
เป็นการป้องกันผิวหนังไม่ให้ถูกทำลายได้ดีที่สุด
และแน่นอนว่าเป็นการชะลอวัยอย่างได้ผลที่สุด


โฟมล้างหน้าที่อ่อนโยน ทำความสะอาดที่ล้ำลึก เนื้อโฟมนุ่ม
เซรั่มบำรุงผิวพรรณ เพื่อความตึงกระชับของผิวพรรณ
ในวันหนึ่งๆ คนเราทั้งชายและหญิง เด็กและผู้ใหญ่จะต้องล้างทำความสะอาดผิวหน้า
อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง เท่ากับวันหนึ่งๆ จะต้องล้างหน้าบ่อยถึง 365 x 2 = 730 ครั้งเป็นอย่างน้อย

ดังนั้นผลิตภัณฑ์ที่นำมาทำความสะอาดผิวหน้า หรือผิวหนัง
จึงควรที่จะต้องถูกชำระล้างออกให้หมดจรดจากผิวหนัง
ไม่ควรตกค้างหรือสะสมบนผิว และไม่ควรทำลายเซลผิว
เพราะการตกค้างของสารเคมีของสารทำความสะอาดบนผิวหนัง
และการทำลายเซลส์ผิวทีละน้อยนั้น จะถูกสะสมทุกครั้งที่ทำความสะอาดผิวหนัง
เมื่อสังเกตุดูผิว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผิวหน้า จำพบว่า
ทำไมผิวหน้าจึงไม่เต่งตึง มีริ้วรอย
ปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ จะบรรเทาลงได้เพียงบางส่วน
เมื่อบำรุงผิวหน้าด้วยครีมบำรุงผิว
แต่หากเราหันมาสนใจการทำความสะอาดผิวหน้าอย่างถูกวิธี
จึงจะเป็นการแก้ไขปัญหาที่สาเหตุอย่างแท้จริง

ดังนั้น ผู้ที่ต้องการดูแลผิวให้ถูกวิธีอย่างจริงจัง
จึงควรเริ่มต้นที่การล้างทำความสะอาดผิวหน้าอย่างถูกวิธี
ภายหลังจากการล้างหน้าเสร็จแล้ว ควรทาด้วยครีมบำรุงบางๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่อยู่ในห้องปรับอากาศเป็นประจำ
เนื่องจากความชื้นในอากาศต่ำภายในห้องปรับอากาศ
จึงจำเป็นต้องบำรุงและปกป้องผิวด้วยครีมบำรุงเพื่อไม่ให้ผิวหนังสูญเสียความชุ่มชื่น


การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าที่ดี

1.ต้องเป็นโฟมที่อ่อนโยนต่อผิวหน้า ทำความสะอาดผิวล้ำลึก
สะอาดหมดจดไม่มีผลเสียต่อสารธรรมชาติบนผิว.
2.ควร ใช้โฟมที่ประกอบด้วยสารที่มีประจุลบ (ANIONIC) หรือไม่มีประจุ (NON-IONIC)
เพราะทั้งสองชนิดไม่เป็นผลเสียต่อผิว ไม่ก่อให้เกิดสารตกค้างบนผิวหน้า
เพราะใบหน้ามีประจุลบเหมือนกัน และโฟมที่มีสารประจุลบจะให้ฟองละเอียด
ทำความสะอาดได้ดีกว่าโฟมไม่มีฟองหรือไม่มีประจุ.
3.โฟมล้างหน้าที่ดีควร มีค่าความเป็นกรดด่าง (pH) ประมาณ 0.5-5.5 เป็นค่าเดียวกับผิวหน้าเรา
ซึ่งที่ pH นี้ผิวจะมีสุขภาพดีที่สุด ที่พีเอชนี้เชื้อราและแบคทีเรียไม่สามารถเจริญเติบโตได้.
4.โฟมล้าง หน้าที่ดีไม่ควรมีส่วนผสมของสบู่ (NON SOAP)
เพราะสบู่โดยทั่วไปจะมีค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) มากกว่า 7 ซึ่งมีฤทธิ์เป็นด่าง
ถ้าใช้ทำความสะอาดผิวเป็นประจำจะมีผลเสียต่อผิวเราทำให้ผิวแห้งตึงได้
นอกจากนี้สบู่หลายชนิดยังมีส่วนประกอบของไขมัน
ซึ่งอาจทำให้เกิดการอุดตันของต่อมไขมัน เกิดเป็นสิวได้.

การทำความสะอาดผิวหน้า 1


1. การทำความสะอาดด้วยน้ำ :
ถือว่าเป็นการทำความสะอาดที่ง่ายที่สุด และไม่มีโอกาสแพ้ได้เลย
แต่ก็มีข้อเสียเช่นกัน คือ ไม่สามารถชำระล้างสิ่งสกปรก แบคทีเรีย
ไขมันส่วนเกินได้หมดจด
ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับสภาพผิวหน้า (โฟมล้างหน้า,เจลล้างหน้า)
ในการชำระล้างผิวหน้า เพื่อผิวหน้าที่สะอาดหมดจดค่ะ


2. การทำความสะอาดด้วยน้ำมัน :
เป็นการทำความสะอาดไขมัน ฝุ่นละอองที่ไม่ละลายในน้ำ
รวมทั้งเครื่องสำอางแต่งหน้าทั้งหลาย เช่น ครีมล้างหน้า
แต่น้ำมันก็มีข้อเสียคือ ถ้าน้ำมันบริสุทธิ์ก็จะมีราคาแพง และล้างหรือเช็ดออกได้ยาก
เนื่องจากมีความหนืดสูง จึงทำให้มีความรู้สึก เหนอะหนะ
และสิ่งสกปรกที่ละลายน้ำได้ก็ล้างออกได้ยาก
ฉะนั้นขอแนะนำให้ใช้วิธีที่ 1 และ 2 ควบคู่กัน

3. การทำความสะอาดด้วยของแข็งดูดซับสิ่งสกปรกไว้ :
มักไม่นิยมใช้สำหรับคนทั่วไป แต่จะเหมาะกับคนไข้ที่ลุกจากเตียงมาล้างหน้าไม่ได้
วิธีการ คือทาทั่วใบหน้าแล้วเช็ดออก แต่ก็มักจะไม่สะอาดเท่ากับวิธีที่ 1-2

4. การทำความสะอาดด้วยการขัดถู:
มักไม่นิยมใช้ในการล้างหน้าในชีวิตประจำกัน
ถือเป็นกรรมวิธีที่ทำกันในคลินิกผิวหนังหรือสถานเสริมความงาม
เช่น การทำการลอกผิวหน้า การกรอผิวหน้า ซึ่งคิดพิจารณาให้ดีก่อนทำ

วิธีการทำความสะอาดผิวหน้า 2


บหน้าของคนเรา คือ สิ่งแรกที่มองเห็นได้ชัดเจนเวลาเจอหน้ากัน

เพราะฉะนั้นการที่มีผิวหน้าที่ดี สะอาด เรียบเนียน สดใส

จะทำให้คนที่พบปะ พูดคุย เกิดความประทับใจได้
คราวนี้เราจะมาพูดคุยกันเรื่องการทำความสะอาดผิวหน้าให้สะอาดได้อย่างไร

จุดประสงค์ของการทำความสะอาดผิวหนัง คือ

ต้องการชำระล้างสิ่งสกปรกไขมันส่วนเกินที่ร่างกายสร้างออกมา
และสิ่งที่ร่าง กายไม่ต้องการ ที่ติดกับผิวชั้นนอก

เช่น ฝุ่นละออง คราบเหงื่อไคล เชื้อโรค เครื่องสำอาง เป็นต้น

โฟมในดวงใจตอนนี้


ไปเจอของใหม่ ถูกใจมากมายแม้จะยังไม่มีชื่อเสียงเป็นที่โด่งดัง แต่ว่าได้ลองใช้ได้สัมผัสแล้ว
ตอนนี้ขอบอกว่าถูกใจเพราะ ว่าเป็นคนหน้าแห้ง ผิวผสม มันตรงทีโซน
แต่พอได้สัมผัสฟองครีมนุ่มๆ ทำความสะอาดได้ล้ำลึก ใช้แล้วหน้านุ่มดี

ไก่ปั่น



เค้าบอกว่า เป็นMenu สำหรับเพาะกล้ามเนื้อ ของนักเพาะกล้าม คิดว่าน่าจะมีประโยชน์

วิธีทำ
1.เนื้อหน้าอกไก่ หั่นเป็นชิ้นนำไปต้ม
2.นำเนื้อไก่ที่ต้มแล้ว นำไปใส่เครื่องปั่น เติมน้ำครึ่งหนึ่งของไก่
3.ปั่นให้เข้ากัน แล้วดื่มทันที
หมายเหตุ ถ้าทนเรื่องกลิ่นหรือรสชาติไม่ได้ อนุญาตให้เติมผลไม้บางชนิดได้ เช่น กล้วย
คิดว่ารสชาติคงไม่ถูกปาก แต่ประโยชน์น่าสนใจ ใครอยากมีกล้ามเนื้อโตน่าจะทำรับประทาน

การทำกระบองแบบพกพาอย่างง่าย


อุปกรณ์

  1. ท่อพีวีซีเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 นิ้ว ยาวประมาณเท่ากับความสูงจากพื้นถึงหน้าผากของเราเอง (ให้ที่ร้านตัดเป็น 3 ท่อนเท่ากัน)
  2. ข้อต่อแบบเกลียว 2 ชุด
  3. ฝาปิดท่อ 2 อัน
  4. กาวทาท่อ

วิธีทำ

ติดข้อต่อแบบเกลียวไว้ตรงส่วนปลายของท่อพีวีซี ดังนี้

  1. ท่อนที่ 1 ซึ่งจะเป็นท่อนตรงกลางนั้น ให้ติดข้อต่อแบบเกลียวตัวเมียไว้ตรงส่วนปลายทั้งสองข้าง
  2. ติดข้อต่อแบบเกลียวตัวผู้ไว้ตรงปลายท่อน 2 และ 3
  3. ติดฝาปิดท่อไว้ที่ปลายอีกด้านหนึ่งของท่อน 2 และ 3

เมื่อต้องการใช้กระบองก็ต่อกระบองท่อนที่ 2 และ 3 (ด้านที่ติดข้อต่อแบบเกลียวตัวผู้) เข้ากับท่อนที่ 1 (ด้านที่ติดข้อต่อแบบเกลียวตัวเมีย) ทั้งสองด้าน

เท่านี้ก็ได้กระบองอย่างง่ายแบบพกพา ไว้ออกกำลังกายเพื่อสุขภาพดีแล้วค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจากนิตยสารชีวจิตออนไลน์

http://www.cheewajit.com/stick_easy.aspx