วันอาทิตย์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2556

หัดภาษาอังกฤษจากเพลง



คนที่อยากเก่งภาษาอังกฤษนั้น มีหลายวิธีในการเรียนภาษาอังกฤษให้เก่ง
แต่ว่าโดยส่วนมากคนไทยอย่างพวกเรานั้น การเรียนภาษาอังกฤษนั้นขอบอกว่า
เรียนมาตั้งแต่เด็กยันแก่ ก็ยังไม่กล้าพูดไม่ได้ เขียนไม่เก่ง เรื่องภาษานั้น
สามารถเก่งได้ถ้าขยันฝึกฝน หมั่นเรียนรู้ กล้าพูด
การฝึกที่ดีที่สุด ก็คือการดูหนังฟังเพลง จะช่วยให้เราจำได้ง่ายขึ้น
อย่างเพลงที่นำมานี้ ก็ใช้ภาษาที่ฟังง่าย ๆ

Peter,Paul & Mary - Puff The Magic Dragon




ด้วยสำเนียงและดนตรีที่ฟังสบาย ๆ
และอีกเพลง

THAT'S THE WAY IT IS (LYRICS)
- CELINE DION
เพลงนี้มีเนื้อร้องให้เราด้วย ซึ่งการฝึกภาษาอังกฤษจากการฟังเพลง ถ้าเป็นคนที่มีพื้นฐานภาษาอังกฤษมาบ้างก็จะดีมาก

Take me to your heart

และมีอีกหลายเพลง ส่วนมากเป็นเพลงที่มีคำศัพท์ไม่ยากจนเกินไป และมีสำเนียงฟังง่าย
Eternity


When you say nothing at all



Better man


Just the way you are

 Deep Down

 Fool again

Free loop

Have I told you lately

 How deep is your love


 How Do I live


If you come back


My heart will go on


I Believe I can fly

I don't know why

 

I'm your

ยังมีเพลงอีกมากมาย ที่ฟังง่าย ๆ

การฟังที่ดีนั้น ก็ควรค้นหาความหมายคำแปล

เนื้อหาในเพลงนั้น ๆ เพื่อให้เกิดทักษะ

ในเรื่องของการออกเสียง หรือ

ในเรื่องการฟังสำเนียง




วันจันทร์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2556

อโรมาเทอราปี...การใช้กลิ่นบำบัด..เลือกกลิ่นตามเดือนเกิด

อโรมาเทอราปี...การใช้กลิ่นบำบัด..เลือกกลิ่นตามเดือนเกิด

ความรู้ทางการแพทย์ด้วยการใช้กลิ่นบำบัดมาจาก ชาวกรีกโบราณ
และได้พัฒนาความรู้เกี่ยวกับอโรมาออยล์และน้ำมันหอมแพร่กระจาย จนได้รับความนิยมมากขึ้น
ในการแพทย์สาขาอายุรเวทการแพทย์แผนโบราณของอินเดีย
การนำกลิ่นหอมมาผสมกับน้ำมันหรือครีม-ไขมันสัตว์ต่างๆ นั้น
เป็นที่รู้จักและใช้กันมานานแล้ว แต่การใช้อโรมา (กลิ่นหอม) ในสมัยโบราณ
ก็ยังไม่มีการค้นคว้าอย่างจริงจัง ถึงคุณสมบัติและสรรพคุณของสารหอมและที่มาของแต่ละชนิด

คำว่า AROMA THERAPY อโรมา-เธอราปี คืออะไร ?
    AROMA (อโรมา) แปลว่า กลิ่น กลิ่นหอม
    THERAPY (เธอราปี) แปลว่า การบำบัดรักษา
    AROMA THERAPY (อะโรมา-เธอราปี) หมายถึง การบำบัดรักษาโรคโดยใช้กลิ่นหอม

คำว่า AROMA THERAPY (อโรมา-เธอราปี) ถูกนำมาใช้เป็นครั้งแรก
โดยนักเคมีชาวฝรั่งเศส ชื่อ RENE MAURICE GATTEFOSSE (เรเน มอริช กัดฟอส)
เมื่อปี ค.ศ.1928 อโรมา-เธอราปี จะเป็นการนำประโยชน์ของน้ำมันหอมระเหย
ที่ทำให้ร่างกาย และจิตใจอารมณ์เกิดความสมดุล

หลักการนี้ถูกนำมาศึกษา
โดยใช้หลักทางสรีรศาสตร์ที่มนุษย์สามารถสัมผัสรับกลิ่น (OLFACTORY NERVES)
ซึ่งอยู่เหนือโพรงจมูก (NASAL CAVITY) เมื่อกลิ่นต่างๆ จากโมเลกุลของละอองเกสรดอกไม้
ผ่านกระเปาะรับกลิ่น (OLFACTORY BULBS) ที่ต่อกับลิมบิค ซีสเต็ม (LIMBIC SYSTEM)
ซึ่งเป็นสมองส่วนควบคุมอารมณ์และความทรงจำ

    โดยปกติแล้วระบบทางเดินหายใจ
จะเริ่มต้นจากการหายใจเข้า (INHALE) และหายใจออก (EXHALE)
เพื่อให้เลือดดูดซับออกซิเจนที่สูดเข้าไป และเปลี่ยนสภาพและสร้างเป็นพลังงานให้ร่างกาย
หากอากาศที่ผ่านเข้าสู่สมองและปอดไม่บริสุทธิ์ เช่น อากาศเสียจากท่อไอเสีย
จากบุหรี่ จากสารพิษ ฯลฯ  ก็จะทำให้สารพิษที่ปนอยู่ในอากาศเสียนั้น
ตกค้างอยู่ในระบบทางเดินหายใจ และมีผลกระทบต่อระบบประสาท
ลิมบิค ซีสเต็ม เป็นผลทำให้ อารมณ์ และความทรงจำแปรปรวนไปด้วย
การทำงานของระบบทางเดินหายใจ  และระบบรับกลิ่นทำงานเช่นเดียวกันทั้งกลิ่นดีและกลิ่นเสีย

ดังนั้น กลิ่นหอมที่สูดดมเข้าร่างกายก็เช่นกัน และด้วยหลักการเดียวกันนี้เอง
น้ำมันหอมระเหยที่ถูกสกัดจากพืชสมุนไพรหลากหลายชนิด
จึงได้ถูกค้นคว้าวิจัยเพื่อ นำมาบำบัดรักษาโรคต่างๆ เพราะคุณสมบัติที่แตกต่างกัน ของพืชสมุนไพร
ซึ่งผ่านการค้นคว้ามาแล้วจากหลายสถาบัน หลายอารยธรรม หลายช่วงกาลเวลาถูกสั่งสมมานาน
จนทำให้คุณค่าของความรู้ ทางด้านน้ำมันหอมระเหยมีประสิทธิภาพสูงขึ้น

และด้วยคุณสมบัติในน้ำมันระเหยนี้ สามารถนำมาใช้โดยการนวด ให้ซึมผ่านผิวหนัง
บางชนิดก็เป็นสารสกัดเป็นสารสกัดที่กำจัดแบคทีเรียได้ บ้างก็ช่วยแก้ภูมิแพ้ ที่ผิวหนัง
ช่วยกระชับผิวให้เต่งตึง ส่วนกลิ่นที่ได้จากสารสกัดสุมนไพรนี้
จะช่วยกระตุ้นเปลี่ยนสภาพอารมณ์และจิตใจ เมื่อกลิ่นผ่านระบบประสาทลิมบิค ซีสเต็ม
เช่น ช่วยให้สงบ ช่วยให้ผ่อนคลาย ช่วยให้กระปรี้กระเปร่า ช่วยคลายเครียด
ช่วยลดความกระวนกระวายใจ ฯลฯ

ศาสตร์การบำบัดความเครียด โดยใช้ความหอมของสมุนไพรนานาชนิดนี้
เป็นเครื่องมือ หรือที่เราเรียกว่า อโรมาเทอราปี นั่นเอง

แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเราควรเลือกใช้น้ำมันหอมระเหยอย่างไรให้เหมาะสมกับตัวเรา
การเลือกกลิ่นหอมของน้ำมันหอมระเหยก็สามารถเลือกได้ตามความชอบ
แต่ถ้าคนไหนที่ยังหากลิ่นที่ถูกใจและเหมาะสมกับตนเองไม่ได้
ให้ใช้หลักการง่ายๆ โดยการเลือกกลิ่นของน้ำมันหอมระเหยตามเดือนเกิดของตนเอง

กลิ่นRos
    กลิ่น Lavender
กลิ่น Vanilla
กลิ่น Lavender, Vanilla และ Rose
ทั้ง 3 กลิ่นนี้เหมาะกับผู้ที่เกิดเดือนสิงหาคม กันยายน ตุลาคม


กลิ่น Camomile
กลิ่น Chrysantemum
กลิ่นApple
กลิ่น Cinnamon

       กลิ่น Camomile,Chrysantemum, Apple และ Cinnamon
เหมาะกับผู้ที่เกิดเดือนพฤศจิกายน ธันวาคม มกราคม กุมภาพันธ์ มีนาคม เมษายน

  กลิ่น Orange
กลิ่น Ginger





        กลิ่น Orange และ Ginger
เหมาะกับผู้ที่เกิดเดือนกุมภาพันธ์ มีนาคม เมษายน พฤษภาคม มิถุนายน กรกฎาคม 

 
กลิ่น Lemonglass


กลิ่นSpearmint

     กลิ่น Lemonglass, Spearmint
เหมาะกับผู้ที่เกิดเดือนพฤษภาคม มิถุนายน กรกฎาคม
          

กลิ่นSaffron

กลิ่นHibicust

กลิ่นCherry

  กลิ่น Lemongrass Saffron Hibicust Cherry
เหมาะกับผู้ที่เกิดเดือนพฤษภาคม มิถุนายน กรกฎาคม สิงหาคม กันยายน ตุลาคม

          กลิ่น Cherry กลิ่นChrysanthemum
เหมาะกับผู้เกิดเดือนกุมภาพันธ์ มีนาคม เมษายน

          การเลือกใช้น้ำมันหอมที่เหมาะกับตัวเรา
จะส่งผลโดยตรงต่อระบบประสาทและการทำงานอันซับซ้อนทางอารมณ์ของเรา
จะก่อให้เกิดพลังงานในตัวเรา และเกิดเป็นแรงในการทำงาน
ในทางตรงกันข้ามกลิ่นที่ไม่เหมาะกับเราจะส่งผลในเชิงลบ
ร่างกายจะหมดเรี่ยวแรง หรือหน้ามืดได้เลยทีเดียว






ที่มา สำนักการแพทย์ทางเลือก
ที่มา ไทยโพสต์
ภาพประกอบอินเตอร์เน๊ท

วันศุกร์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2556

เพลงที่ฟังแล้วช่วยให้อยากลดน้ำหนัก

เพลงส่งเสริมการออกกำลังกายเผาผลาญไขมันให้คุณได้
เพราะเสียงดนตรีสามารถกระตุ้นความรู้สึกส่งผ่านทางร่างกาย
การพยายามนึกถึงจังหวะเพลงในใจระห่วางการวอร์มอัพร่างกาย
ก็ช่วยกระตุ้นให้อยากออกกำลังกายด้วยเช่นกัน 

งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยบรู เนล ในลอนดอน
ระบุว่า ช่วงจังหวะความเร็ว หรือ Tempo ที่จังหวะ 125-140 บีท ของเพลง
หลายเพลงมีส่วนช่วยกระตุ้นพลังในร่างกายเรา
ให้เกิดความคึกคักขึ้น เป็นพิเศษ เพราะช่วยเพิ่มปริมาณออกซิเจน
และเพิ่มความแข็งแกร่งให้ร่างกาย
ซึ่งนั่นมีส่วนช่วยกระตุ้นให้เราเกิดความรู้สึกอยากขยับแข้งขาออกกำลังกาย ได้


ถ้าอยากผอมก็ฟังบ่อยๆ ก็คงช่วยได้

เพลงที่ว่านี้ ได้แก่ 
1.The Black Eyed Peas เพลง Boom Boom Pow (131 บีท/นาที)

 
2.Calvin Harris featuring Tinie Tempah
เพลง Drinking from Bottle (128 บีท/นาที)




3.D′Banj เพลง oliver Twist (125 บีท/นาที)


4.Kesha เพลง Die Young (128 บีท/นาที)

5.Psy เพลง Gangnam Style (132 บีท/นาที)


6.Flo Rida เพลง Let It Roll (128 บีท/นาที)


7.will.i.am featuring Britney Spears
เพลง Scream & shout (130 บีท/นาที)



8.Michael Jackson เพลง Beat It (140 บีท/นาที)



9.Lady Gaga เพลง Edge of Glory (128 บีท/นาที)





ที่มา ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ 

บูชาขอพรพญานาคด้วยกำยาน


จากตำนานความเชื่อ เกี่ยวกับพญานาคแต่โบราณ
ในสมัยพระพุทธเจ้า มีพญานาคตนหนึ่งนั่งฟังธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้าแล้วได้เกิดศรัทธา
จึงได้แปลงกายเป็นมนุษย์ขอบวชเป็นพระภิกษุ แต่อยู่มาวันหนึ่งเข้านอนในตอนกลางวัน
หลังจากหลับแล้วมนต์ได้เสื่อมกลายเป็นงูใหญ่ จนพระภิกษุรูปอื่นไปเห็นเข้า
ต่อมาพระพุทธเจ้าทรงทราบจึงให้พระภิกษุนาคนั้นสึกออกไป
เพราะเป็นสัตว์เดรัจฉาน นาคตนนั้นผิดหวังมาก จึงขอถวายคำว่า นาค
ไว้ใช้เรียกผู้ที่เข้ามาขอบวชในพระพุทธศาสนา เพื่อเป็นอนุสรณ์ในความศรัทธาของตน
ต่อจากนั้นมาพระพุทธเจ้าจึงทรงบัญญัติไม่ให้สัตว์เดรัจฉาน ไม่ว่าจะเป็นนาค ครุฑ
หรือสัตว์อื่น ๆ บวชอีกเป็นอันขาด เพราะก่อนที่อุปัชฌาย์จะอุปสมบท
ให้แก่ผู้ขอบวชจะต้องถาม อัตรายิกธรรม หรือ
ข้อขัดข้องที่จะทำให้ผู้นั้นบวชเป็นพระภิกษุไม่ได้ รวม 8 ข้อเสียก่อน

ในจำนวน 8 ข้อนั้น มีข้อหนึ่งถามว่า “ท่านเป็นมนุษย์หรือเปล่า”

จึงเป็นเหตุให้มีความเชื่อที่เกี่ยวพันทั้งทางด้านศาสนาและในด้านต่าง ๆ มากมาย


เริ่มแรกก็นับถือกันในฐานะสัตว์ที่มีความดุร้าย

ต่อมาจึงได้เลื่อนฐานะเป็นเทพเจ้า

เรียกในนามว่า นาค หรือ พญานาค
จึงได้มีการบูชาเพื่อเป็นการขอพร

เพื่อ
ให้พญานาคและวิญญาณในพื้นที่นั้นๆ สงบและมีความสุข
ทั้งยังช่วยชำระล้างพลังที่ไม่ดีภายในพื้นที่ให้บริสุทธิ์
ส่งผลให้อุปสรรคปัญหาทั้งหลายในชีวิตมลายหายไป
หรือผ่อนบรรเทาลงได้



การบูชากำยาน
ควรเริ่มทำในช่วงเย็นหลังพระอาทิตย์ตกดินแล้ว 
ข้อ 1 ควรหาภาชนะที่เหมาะสมสำหรับใส่กำยาน
จุดกำยานให้ติดไฟ
หากใช้กำยานชนิดถ้วย ให้จุดไฟให้ติดในหลุมของถ้วยกำยาน


ข้อ 2 เมื่อไฟติดและเกิดควันแล้ว
ให้ตักผงกำยานหนึ่งช้อนพูนลงในถ้วยกำยานให้เต็ม


ข้อ 3 ตั้งจิตอธิษฐานพร้อมกล่าวดังๆ ว่า 


ข้าพเจ้าขอถึงที่พึ่งในผู้รู้แจ้งทั้งหลาย
ข้าพเจ้าขอถวายกำยานนี้แด่ทวยเทพ
แด่ผู้ปกปักรักษาแห่งจักรวาล แด่นาค
แด่วิญญาณแห่งพิภพ ตลอดจนเจ้าที่เจ้าทาง ณ ที่แห่งนี้
โปรดรับบูชากำยานแห่งข้าพเจ้านี้ด้วยเทอญ


จากนั้นท่องบทสวดต่อไปนี้ 21 จบ หรือสวดไปเรื่อยๆ
พร้อมกับถือภาชนะใส่กำยานเดินไปให้ทั่วบริเวณบ้าน


นามา ซาร์วะ ตะถาคะตา อะวะโลกิเต
โอม ซัมบารา ซัมบารา ฮุง

ข้อ 4 ตั้งจิตอุทิศส่วนกุศล พร้อมอธิษฐานในสิ่งที่คุณปรารถนา
หรือหากกำลังประสบปัญหาใด
ก็สามารถขอพรให้นาคและวิญญาณในพื้นที่นั้นๆ
ช่วยคลี่คลาย และปกป้องคุ้มครองให้พ้นจากสิ่งชั่วร้ายต่างๆ


ที่มา มิติฮวงจุ้ย
ภาพประกอบ อินเตอร์เน๊ท

วันจันทร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2556

วิธีดื่มน้ำให้ถูกวิธี


วิธีดื่มน้ำให้ถูกวิธี
ร่างกายคนเรานั้นประกอบด้วยน้ำ 60 – 70 % เมื่อเทียบกับน้ำหนักตัวเรา
คนเราในแต่ละวันต้องดื่มน้ำให้ได้ปริมาณที่เหมาะสมกับน้ำหนักของตัวเอง
การรับประทานน้ำตามสูตรที่องค์การอนามัยโลกได้กำหนดเอาไว้นั้น คือ



น้ำหนักตั้งแต่ 1-50 กิโลกรัม ปริมาณน้ำต่อวัน 1,650 ซีซีหรือ 1.6 ลิตร หรือประมาณ  8 แก้ว
น้ำหนักตั้งแต่      60 กิโลกรัม ปริมาณน้ำต่อวัน 1,980 ซีซีหรือ 1.9 ลิตร หรือประมาณ  10 แก้ว
น้ำหนักตั้งแต่      70 กิโลกรัม ปริมาณน้ำต่อวัน 2,310 ซีซีหรือ 2.3 ลิตร หรือประมาณ  11.5 แก้ว
น้ำหนักตั้งแต่      80 กิโลกรัม ปริมาณน้ำต่อวัน 2,640 ซีซีหรือ 2.6 ลิตร หรือประมาณ  13 แก้ว
น้ำหนักตั้งแต่      90 กิโลกรัม ปริมาณน้ำต่อวัน 2,970 ซีซีหรือ 2.9 ลิตร หรือประมาณ  14.5 แก้ว



ทำไมต้องดื่มน้ำให้ได้ขนาดนั้น
ก็เพื่อความสมดุลของน้ำในร่างกาย เพราะร่างกายคนเราประกอบด้วยน้ำถึง  2 ใน 3 ส่วน
ถ้าร่างกายขาดน้ำ ธาตุไฟก็จะโหมกระหน่ำ ธาตุลมกำเริบ ธาตุดินก็แห้งแตกระแหง
หรือจะดูกันง่ายๆ เลือดเรานั้นต้องประกอบด้วยน้ำกว่า 60% ถ้าขาดน้ำ เลือดก็จะข้นหนืด
ทำให้เลือดไหลเวียนไปหล่อเลี้ยงร่างกายลำบาก หัวใจก็จะทำงานหนักในการสูบฉีดเลือด
เส้นเลือดบางเส้นมีขนาดเล็กมากจนต้องใช้กล้องขยายส่องดูจึงจะมองเห็น
ลองคิดดูว่า เลือดที่มันข้นหนืดจะเข้าไปในเส้นเลือดเล็กๆเหล่านั้นได้อย่างไร

ถ้าเลือดข้นแล้วเข้าไปเลี้ยงร่างกายไม่ได้ ก็ทำให้เกิดโรคต่าง ๆ
เช่น เส้นเลือดอุดตัน สมองขาดเลือด เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต
ดังนั้น เราหันมาดื่มน้ำให้พอเพียงกับร่างกายต้องการกันดีกว่า

ดื่มน้ำตอนเช้าหลังตื่นนอน
ตื่นเช้าขึ้นมาขอแนะนำว่าอย่างแรกที่ ควรทำก่อนอย่างอื่นเลยก็คือ
ดื่มน้ำให้ได้  2 – 5 แก้ว ดื่มน้ำอุ่นๆยิ่งดี เพราะน้ำอุ่นนั้นดื่มง่ายกว่าน้ำธรรมดา
และอุณหภูมิของน้ำที่ดื่มไม่ต่ำกว่าอุณหภูมิของร่างกายไม่เป็นการไปดึงอุณหภูมิร่างกายให้เย็นลง

ทำไมต้องดื่มน้ำก่อนแปรงฟัน บางท่านแปรงฟันเสร็จแล้วก็จะไปทำธุระอะไรต่อมิอะไรเยอะแยะ
อ่านหนังสือพิมพ์ ทานกาแฟ หรือทานข้าวเสร็จแล้วออกจากบ้านไปเลย จนลืมดื่มน้ำไป
สาเหตุที่ให้ดื่มน้ำก่อนแปรงฟันก็เพื่อป้องกันไม่ให้ท่านหลงลืมการดื่มน้ำ
หรือถ้าท่านใดรู้สึกรังเกียจขี้ฟันของตัวเองก็ดื่มหลังจากแปรงฟันเสร็จแล้ว
ก็ได้ไม่ผิดกติกาแต่อย่างใด แต่อย่าลืมดื่ม

หลีกเลี่ยงน้ำเย็น น้ำอัดลม และนม

อุณหภูมิโดยปกติของร่างกายคนเรานั้นอยู่ที่ 36-37 องศาเซลเซียส
ถ้าเราดื่มน้ำเย็นๆสัก 2 องศาเซลเซียส
น้ำเย็นจะต้องไปดึงความร้อนของร่างกายมาทำให้อุณหภูมิของน้ำเท่ากับร่างกาย
การดูดซึมจะทำงานได้ ทำให้ร่างกายสูญเสียพลังงานและเสียเวลาในการปรับสมดุลให้คืนสู่ปกติ
บางท่านเอาน้ำชาใส่กระติกน้ำแข็งแช่เย็นแล้วก็ดื่มทั้งวัน
เวลาดื่มก็ชื่นใจดี แต่เชื่อหรือไม่ว่ายิ่งดื่มมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งร้อนมากขึ้นเท่านั้น
 เพราะชามีฤทธิ์เย็น แม้จะดื่มแบบร้อนก็ตาม เมื่อชาเข้าไปอยู่ในร่างกายแล้ว
ความร้อนของน้ำจะหายไป เหลือแค่ฤทธิ์ของชาซึ่งเย็น
และไม่ต้องพูดถึงว่าเมื่อเราดื่มน้ำชาแช่เย็นแล้วตัวเราจะเย็นมากขึ้นเพียงใด
เหมือนร่างกายเราถูกแช่เย็น แถมยังเกิดลมเกิดแก๊สขึ้นมาอีกต่างหาก

ส่วนน้ำอัดลมนั้น เมื่อดื่มแล้วรู้สึกเย็นซ่า ชื่นใจ จนบางคนติด ไม่ดื่มไม่ได้
จะดื่มทีก็ต้องดื่มแบบเย็นจัด ลองคิดดูว่าได้อะไรจากการดื่มน้ำอัดลมบ้าง
นอกจากความเย็น น้ำตาล สารแต่งสี สารแต่งกลิ่น มีแต่สิ่งไม่มีประโยชน์ทั้งนั้นเลย

ส่วนนม ที่หลายท่านพยายามสอนให้ลูกให้หลานดื่มกันด้วยความเชื่อว่า
นมนั้นมีประโยชน์เหลือหลาย ว่าจะทำให้ตัวโตแข็งแรง มีแคลเซียมช่วยบำรุงกระดูก
แต่เราชาวเอเชียเมื่อหย่านมแล้วร่างกายจะไม่ย่อยน้ำตาลแลกโตสในนม
และสารเคซินในนมจะเหนียวจับตัวเป็นลิ่มเป็นก้อน
ทำให้กระเพาะอาหารทำการย่อยสารเหล่านี้ลำบาก และยิ่งนิยมดื่มนมที่มีรสหวาน
ดื่มนมแช่เย็นกันอีก ความหวานและความเย็นจากนมที่ท่านชอบดื่มกัน
ก็สามารถสร้างปัญหาให้ร่างกายท่านได้ไม่ต่างอะไรจากน้ำอัดลม เช่นเดียวกัน



ดื่มน้ำให้ถูกเวลา ช่วงเวลาที่ควรรับประทานน้ำ ควรเลือกเวลาในการรับประทานน้ำให้ถูก
เพราะโดยปกติ เรามักมีความเชื่อที่ผิด เกี่ยวกับการดื่มน้ำ เช่น เวลาทานอาหารให้ดื่มน้ำมาก ๆ
ซึ่งไม่เป็นการดีสำหรับร่างกายเลย จากความเชื่อที่ว่า ให้ดื่มน้ำ

-15 นาทีก่อนทานอาหาร
- ระหว่างทานอาหาร
- รับประทานอาหาร

ทั้ง 3 กรณีที่ยกมานี้เป็นช่วงเวลาที่คนเรามักดื่มน้ำ
การดื่มน้ำในช่วงเวลาดังกล่าวนี้เป็นการดื่มน้ำที่ผิดเวลาอย่างมาก
และเป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการเจ็บไข้ได้ป่วยได้

ถ้าท่านดื่มน้ำก่อนทานอาหาร น้ำที่ท่านดื่มเข้าไปมันก็ไปเจือจางน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร
และพอท่านทานอาหารตามเข้าไป น้ำย่อยที่เข้มข้นสำหรับย่อยอาหารตามเข้าไป
น้ำย่อยที่เข้มข้นสำหรับย่อยอาหารมันกลับเจือจางเสียแล้ว ทำให้การย่อยอาหารไม่ดี
อาหารไม่ย่อยและเกิดการหมักหมมในกระเพาะอาหาร
พอเกิดการหมักหมมในกระเพาะอาหารเมื่อไหร่ก็เกิดพิษในร่างกายขึ้นมาเมื่อนั้น
พิษที่เกิดขึ้นมาก็เป็นสาเหตุอาการเจ็บป่วยทั้งหลาย
เช่นเดียวกับการที่ท่านดื่มน้ำระหว่างทานอาหารหรือดื่มน้ำหลังรับประทานอาหารอิ่มใหม่ๆ
จะทำให้ระบบการย่อยอาหารทำงานได้ดี

วิธีแก้ไขได้ง่ายๆ ด้วยวิธีนี้
1. ระหว่างทานอาหารควรดื่มน้ำแต่น้อยอย่างมากไม่เกิน 1 แก้ว
เพื่อให้น้ำย่อยมีประสิทธิภาพในการย่อยอาหารได้เต็มที่
2. หลังทานอาหารเสร็จแล้ว 40 นาที ค่อยดื่มน้ำตามปกติ เพื่อให้กระเพาะได้ทำการย่อยอาหารเสียก่อน
3. และที่สำคัญไม่ควรดื่มน้ำเย็น ในการย่อยอาหารนั้นกระเพาะต้องใช้ไฟฟ้าในการย่อยอาหาร
ถ้าท่านดื่มน้ำเย็นเข้าไป ความเย็นจะเข้าไปดับไฟในกระเพาะ และเป็นสาเหตุให้อาหารไม่ย่อย
เกิดอาการท้องอืด ท้องพองผะอืมผะอม อาเจียน ร้อนในอกในใจ บวมตามมือตามเท้า

บางท่านอาจคิดว่าแค่กินน้ำเท่านั้น แต่การกินน้ำแล้วช่วยให้เกิดประโยชน์แก่ร่างกายนั้นก็
ควรใส่ใจสักนิดเพื่อสุขภาพที่ของท่านเอง


ที่มา ที่นี่ดอดคอม
ภาพประกอบอินเตอร์เน๊ท