วันพุธที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

สุดยอดอาหารบำรุงสำหรับคนนอนดึก

จากสภาพปัจจุบันที่เปลี่ยนไปทำให้คนในยุคสมัยนี้
โดยส่วนมากจะนอนกันประมาณห้าทุ่มหรือเที่ยงคืน
หรือบางคนก็จะต้องทำงานเป็นกะ ทำงานกลางคืน
เป็นเหตุให้ร่างกายซึ่งโดยปกติแล้วจะต้องทำงานตอนกลางวัน
และนอนในตอนกลางคืน ต้องเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตไป
เลยทำให้ร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงระบบต่างๆ ภายในร่างกาย
ได้ทำงานผิดปกติไป

การนอนดึกมีผลทำให้ร่างกายอ้วนได้มากกว่าปกติ
เพราะคนที่อดนอนโดยส่วนใหญ่มักจะรู้สึกหิวมากกว่าปกติ
ทำให้กินอาหารมากขึ้น จึงเป็นเหตุให้อ้วนง่ายกว่าเดิม

ดังนั้นการที่อดนอนก็จะต้องชดเชยในสิ่งที่ร่างกายได้ขาดไป
เนื่องจากกระบวนการทำงานที่เปลี่ยนไป
จึงควรจะรับประทานอาหารที่ช่วยในการเสริมสร้างสุขภาพ
จากหนังสือคู่มือดูแลร่างกายของคนนอนดึก
เขียนโดยนพ.กฤษดา  ศิรามพุช,
พบ.(จุฬาฯ)
ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ
American Board of Anti-aging medicine

ท่านได้แนะนำไว้ดังนี้
ควรทานเนื้อสัตว์สีขาว ที่ไปช่วยในการสร้างเคมีสมอง
ได้แก่ เนื้อปลา อกไก่ ไข่ขาว เต้าหู้

และในการช่วยในช่วยสื่อประสาทสมองทำให้ความจำดีคิดอ่านได้ว่องไว
ควรรับประทาน ข้าวกล้องงอก,มอลต์,ข้าวบาเลย์,ถั่วแดง,
ถั่วดำ,ลูกเดือยและธัญพืชอื่น ๆ 

ให้รับประทาน ถั่วเหลือง,ไข่แดง
ที่ช่วยสร้างความปรองดองเชื่อมโยงถึงกันในสมอง  ป้องกันความจำเสื่อม
ช่วยให้สมาธิและความจำไม่สะดุดลงด้วยอาการอดนอน

ช็อกโกแลตดำและโกโก้ร้อน
จะช่วยให้เลือดไหลลื่นในสมองป้องกันเส้นเลือดอุดตัน

และควรรับประทานปลาทูวันละ 2 ตัว หรือทูน่ากระป๋อง เพื่อเพิ่มโอเมก้า

กินไข่แดงวันละ 1 ฟอง ช่วยเพิ่มไบโอตินช่วยบำรุงสมองและเส้นผมได้ดี
เหมาะกับท่านที่อยู่ดึกและใช้สมองมาก

ใบบัวบก เป็นคลอโรฟิลล์จากธรรมชาติ
และยังมีสารช่วยลดการอักเสบของร่างกายจากภาวะนอนดึก

ใบของแปะก๊วยมีสารสำคัญที่ช่วยป้องกันสมอง เสริมสร้างความจำ

วิตามินบี ที่ช่วยบำรุงเส้นประสาททั้งร่างกาย
อีกทั้งสมองให้ตื่นตัวได้แม้ในยามอดนอน
มีผลกระตุ้นสมองป้องกันอาการง่วงมึนซึม

ดื่มน้ำให้มาก น้ำเปล่าธรรมดาดีต่อสมองเป็นที่สุด
เพราะก้อนสมองต้องอาศัยน้ำในการบำรุง
เช่นเดียวกับร่างกายที่นอนดึก สังเกตว่านอนดึกแล้วปากแห้ง
เพราะร่างกายคนนอนดึกไม่ได้พักจึงมีการสูญเสียน้ำไป

ที่มา teenee.com
ภาพประกอบ อินเตอร์เน๊ท

วันอังคารที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ยาพาราเซตามอลอันตรายที่ไม่ควรมองข้าม ภัยร้ายในสุนัขและแมว


พอดีไปพบบทความในพันธุ์ทิพย์ ที่คุณหมออาสาได้ตอบปัญหา
ในเรื่องการให้ยาพาราเซตามอลกับสัตว์เลี้ยงแสนรักของเรา
เช่น น้องหมา และน้องแมว บางครั้งเราก็รู้เท่าไม่ถึงการณ์
คิดว่ายาของคนก็รักษาหมาแมวได้ จนลืมนึกไปว่า
พวกน้องหมา น้องแมว นั้นตัวเล็กกว่าเรา น้ำหนัก หรือแม้แต่
เรื่องของร่างกายที่แตกต่างกันนั้นก็มีผลในการที่ทำให้พวก
น้องหมาและน้องแมวเกิดอันตรายได้จากการที่เรารู้เท่าไม่ถึงการณ์
จึงได้นำบทความนี้มา เผยแพร่ต่อเพื่อให้เจ้าของน้องหมาและน้องแมวที่บางคนยังไม่รู้ถึงอันตรายของการให้ยาน้องหมาและน้องแมว
จะได้ระวังในการดูแลสัตว์เลี้ยงแสนรักของตนเองให้ดียิ่งขึ้น
และเพื่อความปลอดภัยกับน้องหมาและน้องแมวของเราค่ะ

ยาพาราเซตามอล ภัยร้ายในสุนัขและแมว

วันนี้หมออาสาตอบปัญหาสัตว์เลี้ยง
อยากเสนอความรู้ให้ผู้เลี้ยงสัตว์ที่ยังไม่รู้ถึงภัยร้ายของยาพาราเซตามอลให้ได้ทราบค่ะ

เมื่อสุนัขและแมวเริ่มมีอาการซึมโดยไม่ทราบสาเหตุ หรือโดนกัด หรือตกจากที่สูง
รถชนก็ว่ากันไป เจ้าของจะคิดว่าตัวร้อน เป็นไข้ เจ็บปวด
และมักคิดเปรียบเทียบกับคนเราว่า ไม่สบาย ครั่นเนื้อครั่นตัว ปวดหัว ตัวร้อน
ต้องกินยาแก้ปวดลดไข้ ซึ่งที่หาได้ง่ายคือพาราเซตามอล ทั้งชนิดเม็ดและชนิดน้ำ

  คนมักป้อนครึ่งเม็ด หรือหนึ่งเม็ด
บางคนให้วันละ3ครั้ง เช้า กลางวัน เย็น
ทีนี้มาดูผลที่เกิดกันนะคะ
ในสุนัข
1.ในทางสัตวแพทย์แล้วยาพาราไม่ควรให้
หรือถ้าจำเป็นสุดๆจริงๆ ให้ได้เพียงหนึ่งครั้ง
เพื่อบรรเทา กรณีหายาอะไรไม่ได้แล้วจริงๆ
แต่การให้ยาในสัตว์ ต้องให้ตามน้ำหนักตัว
เช่น คนหนัก 80-100 กิโลกรัม กินพารา 1 เม็ด เป็นอย่างต่ำในขนาดปกติธรรมดา
ในคนยาจะใช้คำว่าในเด็ก กับในผู้ใหญ่
แต่สำหรับในสัตว์ยาใช้ตามน้ำหนักตัว 
ดังนั้นพารา 1 เม็ดกับสุนัขเล็ก หรือขนาดธรรมดาทั่วไปถือว่าเป็นปริมาณที่มหาศาลมากๆๆ
2.หลังจากกินไปได้ 1-2 วัน อาจจะรู้สึกว่าสัตว์ลุกเดินได้
จากที่ไม่เดินเอาแต่นอนขดตัว
เจ้าของจะเข้าใจว่าสุนัขอาการดีขึ้น แต่หลังจากนั้น 7-10 วัน
หรืออาจจะภายใน 1 เดือนถัดมา
อาจมีอาการ ซึม อาเจียน ซีด เหลือง
ตรวจเลือดดูจะพบ ค่าตับ หรืออาจมีค่าไตสูง โลหิตจาง
ในสุนัขพอจะมีตัวย่อยพาราในตับบ้าง แต่ไม่ให้จะดีกว่าค่ะ

ในแมว
1.หลังกินพาราไม่ว่าจะชนิดเม็ดหรือน้ำ ไปได้ราวๆ 1-2 วันแล้วแต่ตัว
จะมีอาการน้ำหลายไหลมา หน้าบวม หน้ากลม หอบ ซีด
บางตัวปัสสาวะเป็นเลือดสด
2.เจ้าของบางคนอาจเข้าใจว่าตัวก่อนก็กินไม่เห็นเป็นไร
คือแมวเป็นสัตว์ที่กินยายาก(แล้วแต่ตัว)  บางตัวพอป้อนยาจะอมแล้ววิ่งไปคายทิ้ง
บางตัวพอยาเข้าปากจะสะบัดหัวอย่างเร็วยาจะหลุดกระเด็ดออกไปไม่ทันที่เจ้าของจะสังเกตเห็น
ก็จะคิดว่ากินเข้าไปแล้ว
3.ยิ่งยาน้ำ แมวยิ่งกินยาก กรณีให้พาราน้ำ แมวจะทำน้ำลายฟูมสะบัดทำให้ยาแทบไม่เข้าไป
ในการที่จะกลืนยาได้เลย บางตัวที่ป้อนยาน้ำไปแล้วขับพ่นมากับน้ำลายเลยไม่เป็นอะไร
4.บางตัวป้อนยาแล้ววิ่งหนีหายไป ไม่กลับมาอีกเลย
ถ้ากินยาเข้าไปจริงๆ จะไปออกอาการป่วยที่ไหนซักแห่งแล้วอาจไม่รอดชีวิตกลับมา

ผลพิษพาราเซตามอล 
ในแมวจะแสดงอาการชัดเจนและรุนแรงกว่าสุนัข
 เพราะแมวไม่มีสาร(เอ็นไซม์)ที่ใช้ย่อยยาพารา พาราจะทำลายตับ ไต
ทำให้ดีซ่าน เม็ดเลือดแดงแตก ไตวาย การหมุนเวียนเลือดเพื่อจับออกซิเจนถูกขัดขวาง
จะหอบซีดตาย  ต้องรีบพาพบสัตวแพทย์ให้เร็วที่สุด 
มียาแก้พิษพารา แต่ขึ้นอยู่กับปริมาณ และระยะเวลาที่ได้รับเข้าไป 
สัตว์อาจต้องนอนให้น้ำเกลือให้ยาแก้พิษเข้าเส้น ให้ยาบำรุงตับ
หรือให้เลือดก็แล้วแต่กรณีค่ะ
หันมาใช้ยาแก้ปวดสำหรับสุนัขและแมวดีกว่าค่ะ

ในสุนัขบางตัวที่มีปัญหาโรคตับ โรคไต อยู่แล้ว
โดยที่มีประวัติป่วยอยู่หรือป่วยแต่ยังไม่แสดงอาการ ก็จะยิ่งไปซ้ำให้เป็นหนักกว่าเดิม
สุนัขที่สุขภาพแข็งแรงอาจยังไม่มีอาการอะไรให้เห็น
แต่พิษจะคงอยู่เรื้อรังในตับ หรือร่างกาย แล้วค่อยแสดงอาการซีด เหลือง
ตับวายใน 2-3 เดือนต่อมา ทั้งที่ผลเฉียบพลันหรือเรื้อรังขึ้นอยู่กับสภาพตัวสัตว์
แต่ที่แน่ๆคือ พาราเป็นยาพิษสำหรับแมวค่ะ

เจ้าของลองค้นหา พาราเซตามอล +สุนัข แมว ในกูเกิ้ลดูก็ได้ค่ะ
ที่กล่าวมาหมอเอามาจากประสบการณ์ ความรู้ที่เรียนมา
 และใช้ถ้อยคำที่เข้าใจง่ายๆคร่าวๆสั้นๆน่ะค่ะ ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่าน
 หวังว่าจะเป็นประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อยนะคะ

ขอบคุณ คุณหมออาสาค่ะ
ที่มา pantip.com
http://pantip.com/profile/905300
ภาพประกอบ อินเตอร์เน๊ท