วันศุกร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

นวัตกรรมบอกลาริ้วรอย


ริ้วรอยตัวร้ายมาจากไหน
ริ้วรอยบนใบหน้าเปรียบเสมือนไมล์วัดประสบการณ์ที่สาวๆ หวาดหวั่นเกิดจาก 2 ตัวแปรสำคัญที่ทำให้ผลริ้วรอยแตกต่างกัน คือ


ริ้วรอยจากการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ เกิดจากการแสดงอารมณ์ของใบหน้าที่ทำให้กล้ามเนื้อต้องหดและเกร็งตัวไม่ว่าจะ เป็นการยิ้ม หัวเราะ ร้องไห้ ขมวดคิ้ว เมื่อแสดงอารมณ์บ่อยๆ จึงมีโอกาสที่จะทำให้เกิดริ้วรอยมากขึ้น และจะเห็นได้ชัดบริเวณรอบดวงตา หางตา หน้าผาก และหัวคิ้ว
ริ้วรอยจากผิวเสื่อมสภาพ เมื่ออายุมากขึ้นผิวจะอ่อนแอลง ปริมาณคอลลาเจน กรดไฮยาลูโรนิกและน้ำในชั้นหนังแท้ก็ลดลงตามไปด้วย เป็นเหตุให้ผิวหย่อนคล้อยและเกิดริ้วรอยง่ายขึ้น แม้จะเป็นผู้ไม่แสดงอารมณ์ทางสีหน้านัก ริ้วรอยนี้พบมากบริเวณร่องแก้ม มุมปาก ร่องจมูก และบริเวณรอยแผลเป็น


รักษา “ริ้วรอย” ให้ตรงจุด



วิธีแรก การฉีดโบท็อกซ์ (Botulinum toxin-A)

เน้นแก้ปัญหามัดกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้าที่หดเกร็งให้คลายตัว
โดยใช้สารชีวภาพสกัดจากเชื้อ Clostridium Botulinum
เพื่อคลายกล้ามเนื้อ แก้ริ้วรอยที่เกิดจากการหดตัวของกล้ามเนื้อ
รอยย่นหน้าผาก รอยตีนกา รอยย่นบริเวณหัวคิ้ว

มีผลการวิจัยมากมายบอกถึงความปลอดภัยของการฉีดโบท็อกซ์ว่า
ไม่ทำให้เกิดการ แพ้หรืออันตรายที่น่ากลัว
แต่มีข้อควรระวังต้องฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์เท่านั้น
เพราะอาจมีผลข้างเคียงเฉพาะที่ เช่น หนังตาตก หน้าไม่สมส่วน
เลือดออกในบริเวณที่ฉีด และมีผลให้กลืนอาหารลำบากได้

การฉีดโบท็อกซ์เพื่อแก้ริ้วรอยจะเห็นผลทันทีและคงอยู่ได้ประมาณ 3-6 เดือน
หลังจากนั้นริ้วรอยจะค่อยๆ กลับมาปรากฏอีก จึงทำให้ต้องฉีดซ้ำ
ทั้งนี้ไม่ควรฉีดติดต่อกันและควรเว้นช่วงการฉีดอย่างน้อย 3 เดือน
เพื่อไม่ให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาต่อต้าน

สำหรับผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ ให้นมบุตร และผู้ที่เป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงห้ามฉีด
เพราะอาจมีผลกระทบได้


วิธีที่ 2 เน้นแก้ไขริ้วรอยจากผิวเสื่อมสภาพ
ด้วยการฉีดสารเข้าไปทำให้ผิวเต่งตึง
และการกระตุุ้นผิวให้กลับมาแข็งแรงมากขึ้น

ฟิลเลอร์ (Filler) คือ การฉีดสารเติมเต็มให้ผิวเต่งตึงด้วยสารสกัด
เพื่อช่วยให้ริ้วรอยและรอยแผลเป็นที่มีร่องลึกดูตื้นขึ้น

โดยมีสารที่ใช้ฉีด 2 ชนิด คือ

คอลลาเจน (Collagen) เพื่อชดเชยเส้นใยโปรตีนในชั้นหนังแท้
โดยต้องฉีดสารในผิวหนังชั้นลึก เพราะคอลลาเจนที่ใช้เป็นสารสกัดจากหนังแท้ของวัว
มีลักษณะข้นหนืด หากฉีดตื้นเกินไปจะทำให้เป็นก้อนแข็งใต้ผิว และขณะฉีดจะค่อนข้างเจ็บ
และอาจมีอาการบวม ปวด หรือคันบริเวณที่ฉีด แต่มีข้อดีที่อยู่ได้นานประมาณ 5 ปี

กรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic acid) มีลักษณะเหลวกว่า
จุดเด่นคือ ช่วยให้ผิวดูเนียนนุ่มมีน้ำมีนวล เพราะสารตัวนี้มีคุณสมบัติในการอุ้มน้ำ
แต่อยู่ได้นานประมาณ 6-12 เดือน

ทั้งนี้การเลือกฉีดสารใดนั้นขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้รับการรักษาเป็นสำคัญ


เลเซอร์ (Laser)
เป็นวิธีที่นำนิยมในกระตุ้นผิวให้กลับคืนความแข็งแรงด้วยการยิงแสงเลเซอร์
เพื่อทำให้เส้นเลือดใต้ผิวหนังอุ่นขึ้นเป็นการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
ในชั้นผิวหนังแท้ตามธรรมชาติ ทำให้โครงสร้างผิวแข็งแรงขึ้น

ข้อดีของการรักษาด้วยเลเซอร์ คือ คอลลาเจนที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติจะสลายตัวช้า
จึงไม่จำเป็นต้องทำต่อเนื่อง แต่มีข้อจำกัดคือเห็นผลช้าและหลังการทำ
ต้องหลีกเลี่ยงแสงแดดประมาณ 1 สัปดาห์
ในคนผิวคล้ำอาจเกิดรอยไหม้ได้ง่าย
เนื่องจากแสงเลเซอร์ทำปฏิกริยากับเม็ดสี




การทำเซลล์บำบัด (Cell Therapy)

เป็นนวัตกรรมน้องใหม่ของการลดริ้วรอยที่เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น
โดยนำเซลล์ตัวอ่อนซึ่ง ทำหน้าที่สร้างเส้นใยคอลลาเจนในร่างกายคนเรา
มาเพาะเลี้ยง แล้วฉีดกลับเข้าไปใหม่ เพื่อกระตุ้นให้เซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพ
กลับมาทำงานได้ดีดังเดิม แต่เนื่องจากวิธีนี้มีใช้ค่าใช้จ่ายสููง
จึงมีการนำเซลล์ตัวอ่อนจากแหล่งอื่น

เช่น รกหรือตับของสัตว์ ผสมกับวิตามินและสารสกัดจากพืชมาใช้แทน
วิธีนี้ต้องฉีดติดต่อกัน 4-5 สัปดาห์ และเว้นช่วง1-3 เดือนต่อครั้งจึงจะเห็นผล

ที่สำคัญ ไม่ว่าคุณจะเลือกรักษาด้วยนวัตกรรมใด
ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
เพื่อให้ได้ผลการรักษาที่ดีและลดความเสี่ยงจากผลข้างเคียง

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะมีนวัตกรรมใหม่ที่ช่วยลดริ้วรอยมากเพียงใด
การดูแลตัวเองด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์
ดื่มน้ำเยอะๆ และพักผ่อนให้เพียงพอ
น่าจะเป็นหนทางที่ช่วยให้ผิวสวยอยู่กับเราได้นานแล้วค่ะ

ที่มา ... Health & Cuisine

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น