วันจันทร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2556

วิธีดื่มน้ำให้ถูกวิธี


วิธีดื่มน้ำให้ถูกวิธี
ร่างกายคนเรานั้นประกอบด้วยน้ำ 60 – 70 % เมื่อเทียบกับน้ำหนักตัวเรา
คนเราในแต่ละวันต้องดื่มน้ำให้ได้ปริมาณที่เหมาะสมกับน้ำหนักของตัวเอง
การรับประทานน้ำตามสูตรที่องค์การอนามัยโลกได้กำหนดเอาไว้นั้น คือ



น้ำหนักตั้งแต่ 1-50 กิโลกรัม ปริมาณน้ำต่อวัน 1,650 ซีซีหรือ 1.6 ลิตร หรือประมาณ  8 แก้ว
น้ำหนักตั้งแต่      60 กิโลกรัม ปริมาณน้ำต่อวัน 1,980 ซีซีหรือ 1.9 ลิตร หรือประมาณ  10 แก้ว
น้ำหนักตั้งแต่      70 กิโลกรัม ปริมาณน้ำต่อวัน 2,310 ซีซีหรือ 2.3 ลิตร หรือประมาณ  11.5 แก้ว
น้ำหนักตั้งแต่      80 กิโลกรัม ปริมาณน้ำต่อวัน 2,640 ซีซีหรือ 2.6 ลิตร หรือประมาณ  13 แก้ว
น้ำหนักตั้งแต่      90 กิโลกรัม ปริมาณน้ำต่อวัน 2,970 ซีซีหรือ 2.9 ลิตร หรือประมาณ  14.5 แก้ว



ทำไมต้องดื่มน้ำให้ได้ขนาดนั้น
ก็เพื่อความสมดุลของน้ำในร่างกาย เพราะร่างกายคนเราประกอบด้วยน้ำถึง  2 ใน 3 ส่วน
ถ้าร่างกายขาดน้ำ ธาตุไฟก็จะโหมกระหน่ำ ธาตุลมกำเริบ ธาตุดินก็แห้งแตกระแหง
หรือจะดูกันง่ายๆ เลือดเรานั้นต้องประกอบด้วยน้ำกว่า 60% ถ้าขาดน้ำ เลือดก็จะข้นหนืด
ทำให้เลือดไหลเวียนไปหล่อเลี้ยงร่างกายลำบาก หัวใจก็จะทำงานหนักในการสูบฉีดเลือด
เส้นเลือดบางเส้นมีขนาดเล็กมากจนต้องใช้กล้องขยายส่องดูจึงจะมองเห็น
ลองคิดดูว่า เลือดที่มันข้นหนืดจะเข้าไปในเส้นเลือดเล็กๆเหล่านั้นได้อย่างไร

ถ้าเลือดข้นแล้วเข้าไปเลี้ยงร่างกายไม่ได้ ก็ทำให้เกิดโรคต่าง ๆ
เช่น เส้นเลือดอุดตัน สมองขาดเลือด เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต
ดังนั้น เราหันมาดื่มน้ำให้พอเพียงกับร่างกายต้องการกันดีกว่า

ดื่มน้ำตอนเช้าหลังตื่นนอน
ตื่นเช้าขึ้นมาขอแนะนำว่าอย่างแรกที่ ควรทำก่อนอย่างอื่นเลยก็คือ
ดื่มน้ำให้ได้  2 – 5 แก้ว ดื่มน้ำอุ่นๆยิ่งดี เพราะน้ำอุ่นนั้นดื่มง่ายกว่าน้ำธรรมดา
และอุณหภูมิของน้ำที่ดื่มไม่ต่ำกว่าอุณหภูมิของร่างกายไม่เป็นการไปดึงอุณหภูมิร่างกายให้เย็นลง

ทำไมต้องดื่มน้ำก่อนแปรงฟัน บางท่านแปรงฟันเสร็จแล้วก็จะไปทำธุระอะไรต่อมิอะไรเยอะแยะ
อ่านหนังสือพิมพ์ ทานกาแฟ หรือทานข้าวเสร็จแล้วออกจากบ้านไปเลย จนลืมดื่มน้ำไป
สาเหตุที่ให้ดื่มน้ำก่อนแปรงฟันก็เพื่อป้องกันไม่ให้ท่านหลงลืมการดื่มน้ำ
หรือถ้าท่านใดรู้สึกรังเกียจขี้ฟันของตัวเองก็ดื่มหลังจากแปรงฟันเสร็จแล้ว
ก็ได้ไม่ผิดกติกาแต่อย่างใด แต่อย่าลืมดื่ม

หลีกเลี่ยงน้ำเย็น น้ำอัดลม และนม

อุณหภูมิโดยปกติของร่างกายคนเรานั้นอยู่ที่ 36-37 องศาเซลเซียส
ถ้าเราดื่มน้ำเย็นๆสัก 2 องศาเซลเซียส
น้ำเย็นจะต้องไปดึงความร้อนของร่างกายมาทำให้อุณหภูมิของน้ำเท่ากับร่างกาย
การดูดซึมจะทำงานได้ ทำให้ร่างกายสูญเสียพลังงานและเสียเวลาในการปรับสมดุลให้คืนสู่ปกติ
บางท่านเอาน้ำชาใส่กระติกน้ำแข็งแช่เย็นแล้วก็ดื่มทั้งวัน
เวลาดื่มก็ชื่นใจดี แต่เชื่อหรือไม่ว่ายิ่งดื่มมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งร้อนมากขึ้นเท่านั้น
 เพราะชามีฤทธิ์เย็น แม้จะดื่มแบบร้อนก็ตาม เมื่อชาเข้าไปอยู่ในร่างกายแล้ว
ความร้อนของน้ำจะหายไป เหลือแค่ฤทธิ์ของชาซึ่งเย็น
และไม่ต้องพูดถึงว่าเมื่อเราดื่มน้ำชาแช่เย็นแล้วตัวเราจะเย็นมากขึ้นเพียงใด
เหมือนร่างกายเราถูกแช่เย็น แถมยังเกิดลมเกิดแก๊สขึ้นมาอีกต่างหาก

ส่วนน้ำอัดลมนั้น เมื่อดื่มแล้วรู้สึกเย็นซ่า ชื่นใจ จนบางคนติด ไม่ดื่มไม่ได้
จะดื่มทีก็ต้องดื่มแบบเย็นจัด ลองคิดดูว่าได้อะไรจากการดื่มน้ำอัดลมบ้าง
นอกจากความเย็น น้ำตาล สารแต่งสี สารแต่งกลิ่น มีแต่สิ่งไม่มีประโยชน์ทั้งนั้นเลย

ส่วนนม ที่หลายท่านพยายามสอนให้ลูกให้หลานดื่มกันด้วยความเชื่อว่า
นมนั้นมีประโยชน์เหลือหลาย ว่าจะทำให้ตัวโตแข็งแรง มีแคลเซียมช่วยบำรุงกระดูก
แต่เราชาวเอเชียเมื่อหย่านมแล้วร่างกายจะไม่ย่อยน้ำตาลแลกโตสในนม
และสารเคซินในนมจะเหนียวจับตัวเป็นลิ่มเป็นก้อน
ทำให้กระเพาะอาหารทำการย่อยสารเหล่านี้ลำบาก และยิ่งนิยมดื่มนมที่มีรสหวาน
ดื่มนมแช่เย็นกันอีก ความหวานและความเย็นจากนมที่ท่านชอบดื่มกัน
ก็สามารถสร้างปัญหาให้ร่างกายท่านได้ไม่ต่างอะไรจากน้ำอัดลม เช่นเดียวกัน



ดื่มน้ำให้ถูกเวลา ช่วงเวลาที่ควรรับประทานน้ำ ควรเลือกเวลาในการรับประทานน้ำให้ถูก
เพราะโดยปกติ เรามักมีความเชื่อที่ผิด เกี่ยวกับการดื่มน้ำ เช่น เวลาทานอาหารให้ดื่มน้ำมาก ๆ
ซึ่งไม่เป็นการดีสำหรับร่างกายเลย จากความเชื่อที่ว่า ให้ดื่มน้ำ

-15 นาทีก่อนทานอาหาร
- ระหว่างทานอาหาร
- รับประทานอาหาร

ทั้ง 3 กรณีที่ยกมานี้เป็นช่วงเวลาที่คนเรามักดื่มน้ำ
การดื่มน้ำในช่วงเวลาดังกล่าวนี้เป็นการดื่มน้ำที่ผิดเวลาอย่างมาก
และเป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการเจ็บไข้ได้ป่วยได้

ถ้าท่านดื่มน้ำก่อนทานอาหาร น้ำที่ท่านดื่มเข้าไปมันก็ไปเจือจางน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร
และพอท่านทานอาหารตามเข้าไป น้ำย่อยที่เข้มข้นสำหรับย่อยอาหารตามเข้าไป
น้ำย่อยที่เข้มข้นสำหรับย่อยอาหารมันกลับเจือจางเสียแล้ว ทำให้การย่อยอาหารไม่ดี
อาหารไม่ย่อยและเกิดการหมักหมมในกระเพาะอาหาร
พอเกิดการหมักหมมในกระเพาะอาหารเมื่อไหร่ก็เกิดพิษในร่างกายขึ้นมาเมื่อนั้น
พิษที่เกิดขึ้นมาก็เป็นสาเหตุอาการเจ็บป่วยทั้งหลาย
เช่นเดียวกับการที่ท่านดื่มน้ำระหว่างทานอาหารหรือดื่มน้ำหลังรับประทานอาหารอิ่มใหม่ๆ
จะทำให้ระบบการย่อยอาหารทำงานได้ดี

วิธีแก้ไขได้ง่ายๆ ด้วยวิธีนี้
1. ระหว่างทานอาหารควรดื่มน้ำแต่น้อยอย่างมากไม่เกิน 1 แก้ว
เพื่อให้น้ำย่อยมีประสิทธิภาพในการย่อยอาหารได้เต็มที่
2. หลังทานอาหารเสร็จแล้ว 40 นาที ค่อยดื่มน้ำตามปกติ เพื่อให้กระเพาะได้ทำการย่อยอาหารเสียก่อน
3. และที่สำคัญไม่ควรดื่มน้ำเย็น ในการย่อยอาหารนั้นกระเพาะต้องใช้ไฟฟ้าในการย่อยอาหาร
ถ้าท่านดื่มน้ำเย็นเข้าไป ความเย็นจะเข้าไปดับไฟในกระเพาะ และเป็นสาเหตุให้อาหารไม่ย่อย
เกิดอาการท้องอืด ท้องพองผะอืมผะอม อาเจียน ร้อนในอกในใจ บวมตามมือตามเท้า

บางท่านอาจคิดว่าแค่กินน้ำเท่านั้น แต่การกินน้ำแล้วช่วยให้เกิดประโยชน์แก่ร่างกายนั้นก็
ควรใส่ใจสักนิดเพื่อสุขภาพที่ของท่านเอง


ที่มา ที่นี่ดอดคอม
ภาพประกอบอินเตอร์เน๊ท

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น